วันจันทร์ที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2555

10 อันดับ เมืองที่ดีที่สุดในโลก 2012


เว็บไซต์ดิอีโคโนมิสต์ เผย 10 อันดับ เมืองที่ดีที่สุดในโลก 2012 จากการจัดอันดับของ Economist Intelligence Unit หน่วยงานชื่อดังด้านการศึกษา และวิจัยข้อมูลด้านการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม เกณฑ์การให้คะแนนวัดจาก โครงสร้างผังเมือง จำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้น การศึกษา สุขภาพ ความมั่นคงทางเศรษฐกิจ วัฒนธรรม และสิ่งแวดล้อม โดยตัดสินคัดเลือกจาก 70 เมืองทั่วโลก ผลปรากฏว่า ฮ่องกง คว้าแชมป์ที่ 1 ไปครองตำแหน่ง เมืองที่ดีที่สุดในโลก 2012 ส่วนอันดับต่อๆ มานั้น ก็ล้วนเป็นเมืองสวยงามน่าไปเยือนทั้งสิ้น

เมืองที่ดีที่สุดในโลก อันดับ 1 ฮ่องกง ประเทศจีน

เมืองที่ดีที่สุดในโลก 2012 อันดับ 2 อัมสเตอร์ดัม ประเทศเนเธอร์แลนด์
 เมืองที่ดีที่สุดในโลก 2012 อันดับ 3 โอซากา ประเทศญี่ปุ่น

เมืองที่ดีที่สุดในโลก 2012 อันดับ 4 ปารีส ประเทศฝรั่งเศส

เมืองที่ดีที่สุดในโลก 2012 อันดับ 5 ซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย

เมืองที่ดีที่สุดในโลก 2012 อันดับ 6 สต็อกโฮล์ม ประเทศสวีเดน

เมืองที่ดีที่สุดในโลก 2012 อันดับ 7 เบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี

เมืองที่ดีที่สุดในโลก 2012 อันดับ 8 โตรอนโต ประเทศแคนาดา

เมืองที่ดีที่สุดในโลก 2012 อันดับ 9 มิวนิก ประเทศเยอรมนี

เมืองที่ดีที่สุดในโลก 2012 อันดับ 10 โตเกียว ประเทศญี่ปุ่น
 10 อันดับ เมืองที่ดีที่สุดในโลก ปี 2012


ที่มา : www.ที่สุดในโลก.com

5 สุดยอดเมืองหลอน "ห้ามเข้า" ที่น่ากลัวที่สุดในโลก


หลายครั้งที่เรามักจะต้องสงสัยว่าทำไมเมืองบางเมือง หรือเขตบางเขตในประเทศต่าง ๆ มักมาพร้อมคำเตือนว่าเป็นสถานที่“ต้องห้าม” หรือ “ห้ามเข้า” ซึ่งเชอร์โนบิล ก็ถือว่าเป็นหนึ่งในห้าพื้นที่ห้ามเข้าที่น่ากลัวที่สุดในโลกด้วย
มาทำความรู้จักกับทั้ง “สถานที่ร้างห้ามเข้า” ทั้ง 5 ที่ติดอันดับเสียงร่ำลือว่าน่ากลัวที่สุดในโลกจนไม่มีใครคิดไปเหยียบ!

อันดับ 5 เมือง ออราดูร์ -ซู-แกลน ประเทศฝรั่งเศส

เมืองร้างที่โดนทำลายย่อยยับโดยกองทัพของเยอรมนีในปี ค.ศ.1944 มีชาวบ้านถูกฆ่าตายที่นี่อย่าง โหดเหี้ยมไปถึง 642 ศพ แม้ปัจจุบันจะมีการสร้างเมืองนี้ขึ้นมาใหม่ แต่ที่นี่ก็ยังคงขึ้นชื่อเรื่องของอาถรรพ์ความเฮี้ยนจนไม่มีใครกล้าย่างกรายเข้าไป

อันดับ 4 เมืองเซ็นทราเลีย ประเทศ สหรัฐอเมริกา

เมืองที่เคยได้ชื่อว่าอุดมไปด้วยเหมืองแร่ถ่านหิน แต่หลังจากที่ในปี 1962 ได้เกิดเหตุการณ์ประหลาดเมื่อจู่ๆ เปลวไฟเกิดประทุขึ้นมาจากเหมืองที่อยู่ใต้ดินอย่างรุนแรง จนทำให้สภาพอากาศของเมืองนี้ร้อนระอุ และถูกปกคลุมด้วยหมอกควันอยู่ตลอดเวลา และจนถึงปัจจุบันเปลวไฟจากใต้ดินก็ยังคงปะทุอยู่อย่างต่อเนื่อง

อันดับ 3 เมืองคราโค่ ประเทศ อิตาลี

เมืองในยุคกลางของอิตาลีที่สร้างขึ้นบนเนินเขา ในฐานะเมืองหน้าด่านสำคัญ แต่เมื่อต้องเจอกับเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่หลายครั้งติดกัน ทำให้ผู้คนเสียชีวิตไปมากมาย และเสียหายเกินกว่าที่จะได้รับการบูรณะขึ้นมาใหม่

อันดับ 2 เมือง ซางจี ประเทศ ไต้หวัน

ดีไซน์การออกแบบอันสุดพิลึกพิลั่นซึ่งเกิดอุบัติเหตุระหว่างก่อสร้างที่คร่าชีวิตคนงานไปหลายคนจนถึงกับต้องหยุดการก่อสร้างไปหลายครั้ง หรือกระทั่ง เหตุการณ์สุดประหลาดที่มีคนอ้างว่าเห็นส่วนต่างๆ ของบ้านเคลื่อนไหวไปมาได้เองชวนขนลุก

อันดับ 1 เมืองพริเพียต ประเทศ ยูเครน (รัสเซีย ในช่วงที่เกิดเหตุการณ์)

นี่คือเมืองที่เกิดเหตุโศกนาฏกรรมช็อคโลกที่เรียกได้ว่า รุนแรงมากที่สุดครั้งหนึ่งใน ประวัติศาสตร์โลก นั่นคือการระเบิดของ“เชอร์โนบิล” โรงงานนิวเคลียร์ขนาดใหญ่ ที่นำหายนะครั้งใหญ่มาสู่สิ่งมีชีวิตที่ตกป็นเหยื่อทั้งสังเวยชีวิต ป่วยเป็นโรคมะเร็ง กลายพันธุ์ผ่าเหล่า หรือพิการเพราะอวัยวะที่ใหญ่ผิดขนาด และไม่ใช่เพียงแค่ผลกระทบทางชีวภาพ แต่ยังมีปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติที่เล่าต่อกันมา ทั้งความรู้สึกที่เหมือนถูกจ้องมองตลอดเวลา เสียงกรีดร้องขอความช่วยเหลืออย่างไร้ที่มาที่ไป เงาของชายลึกลับที่หลายคนพบเห็น


Super Wi-Fi


[เอ.อาร์.ไอ.พี, www.arip.co.th] รายงาานข่าวล่าสุด FCC เพิ่งจะประกาศความชัดเจนเกี่ยวกับแนวทางเทคโนโลยีใหม่ทีมีชื่อว่า "Super Wi-Fi" ซึ่งเชื่อว่า น่าจะอยู่ในความสนใจของผู้ใช้หลายๆ ท่าน ว่าแล้วทางเว็บไซต์ arip จึงไม่พลาดที่จะรีบนำเรื่องราวนี้ที่ได้มีการสรุปโดยเว็บไซต์ Gizmodo มาขยายความให้ทราบโดยทั่วกัน ไปทำความรู้จักกับเทคโนโลยีไร้สายรุ่นใหม่ที่มีประสิทธิภาพเหนือชั้นกันดีกว่าครับ
กล่าวโดยสรุป Super-Wi-Fi ก็ยังคงเป็นเทคโนโลยี Wi-Fi อยู่วันยังค่ำ โดยมันยังมีลักษณะของการส่งข้อมูลไร้สายที่ใช้กันตามบ้านเรือน ที่พักอาศัย ตลอดจนสำนักงาน หรือแม้แต่ในสตาร์บัค เพียงแต่มันจะเก่งกว่ามาก ไม่งั้นไม่มีคำว่า "Super" นำหน้าอย่างแน่นอน...แต่ประเด็นที่มีการเปลี่ยนแปลงก็คือ ช่วงความถี่ (หรือ Spectrum) ที่ใช้ โดยผู้เชี่ยวชาญอธิบายว่า ปกติ Wi-Fi จะมีช่วงการรับส่งข้อมูลไร้สายอยุ่ที่ 2.4GHz หรือ 5GHz ซึ่งเมื่อ 25 ปีก่อนทาง FCC ได้เปิดช่วงความถี่ที่ไม่ได้มีการใช้นั่นคือ 50MHz และ 700MHz โดยช่วงความถี่นี้เองที่จะถูกนำมาใช้กับเทคโนโลยี Super Wi-Fi
ประเด็นก็คือ ช่วงความถี่ดังกล่าวจะอยู่ในช่วงของช่องสัญญาณ TV (White Noise) แต่เมื่อทีวีเป็นดิจิตอลโดยสมบูรณ์ ช่วงความถี่เหล่านี้จะไม่ได้ถูกใช้แต่อย่างใด ซึ่งหากสามารถนำมาใช้กับ Super Wi-Fi คุณประโยชน์ที่โดดเด่นมากๆ ก็คือ ระยะทางของการส่งคลื่น หรือพูดง่ายๆ ก็คือ รัศมีการครอบคลุมของสัญญาณที่กว้างกว่า Wi-Fi เป็นหลายกิโลเมตร!!! เนื่องจากความถี่ที่ต่ำกว่าทำให้มันเดินทางไปได้ไกลกว่านั่นเอง อีกทั้งยังมีอำนาจทะลุทะลุวงกำแพงได้อีกด้วย ซึ่งเราท์เตอร์ที่ใช้ในปัจจุบันส่วนใหญ่จะยังมีปัญหาเรื่องนี้ นอกจากรัศมีทีกว้างไกลแล้ว Super Wi-Fi ยังเปิดโอกาสให้ผู้ใช้สามารถดาวน์โหลดได้ด้วยความเร็ว 15Mbps - 20Mbps หรือเท่าๆ กับเคเบิ้ลโมเด็ม
ปัจจุบัน Google ได้ทดลองใช้ Super Wi-Fi ในโรงพยาบาลที่ Ohio เป็นที่แรก ปรากฎว่า ความเร็วที่ใช้งานได้ตลอดทั่วทั้งโรงพยาบาลอยู่ในระดับ Super Broadband เลยทีเดียว นอกจากนี้ยังมีการทดลองใช้คลื่นความถี่ดังกล่าวในการฟีดข้อมูลจราจร และจากกล้องรักษาความปลอดภัย หรือแม้แต่การเข้าถึง Wi-Fi ที่บ้านที่อยู่ห่างไปหลายช่วงตืกได้อีกด้วย เทคโนโลยี Super Wi-Fi ยังคงต้องได้รับการแก้ไขปัญหา หรือผลกระทบต่างๆ ตลอดจนพิสูจน์ทราบการใช้งานจริงอีกพอสมควร โดยจะมีการทดลองให้เห็นการใช้งานใน CES 2011 และเราคงจะได้เห็นอุปกรณ์ที่ใช้เทคโนโลยี Super Wi-Fi ในท้องตลาดอีกประมาณ 1 - 2 ปีข้างหน้า Google เปรียบเทียบเทคโนโลยี Super Wi-Fi ว่า มันเป็นการฉีดสเตียรอยด์ให้กับ Wi-Fi โอ้ว...ชัดเจนจริงๆ

ข้อมูลจาก: GeekWhiteLaptop